belanegara – ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและเอสโตเนีย กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ หลังจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (Kadin) และสภาหอการค้าแห่งประเทศเอสโตเนีย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) อย่างเป็นทางการ โดยมุ่งเน้นไปที่ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้ก้าวกระโดด
นายเบอร์นาดีโอ เอ็ม. เวกา รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฝ่ายการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า "ในวันนี้เราได้รับเกียรติจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเอสโตเนีย นายมาร์กัส ซาห์คนา ที่ได้เดินทางมาเยือนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นสักขีพยานในการลงนาม MoU ระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศเอสโตเนีย" ณ อาคารสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

"MoU ฉบับนี้ครอบคลุมถึงความร่วมมือในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ด้านหลัก คือ ด้านดิจิทัล ด้านอาหารและเครื่องดื่ม และด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเรามองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่ง" นายเบอร์นาดีโอ กล่าวเสริม
นอกจากนี้ คณะผู้แทนจากภาคธุรกิจของเอสโตเนียยังได้เดินทางมาพร้อมกันเพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างความร่วมมือกับภาคธุรกิจของไทย โดยหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านนายมาร์กัส ซาห์คนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเอสโตเนีย กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
"ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นรูปธรรมกับประเทศไทยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเอสโตเนีย" ท่านรัฐมนตรีกล่าว
นายมาร์กัส ยังได้เน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของเอสโตเนียในด้านดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เอสโตเนียได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในบริการภาครัฐถึง 100% รวมถึงการโปรโมตโครงการ e-residency ของเอสโตเนีย ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศสามารถดำเนินธุรกิจออนไลน์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่สูง
ความร่วมมือครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจของทั้งไทยและเอสโตเนียเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศ นับเป็นการเปิดประตูสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จในอนาคต