belanegara – กระทรวงพาณิชย์ของอินโดนีเซียรายงานว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียถึง 3 รูปแบบ ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างหนัก การปรับขึ้นภาษีครั้งนี้ประกอบด้วย ภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs), ภาษีฐานใหม่ (new baseline tariff) และภาษีเฉพาะภาคส่วน (sectoral tariffs)
นายจัตมีโก บริส วิทจักโซโน อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์อินโดนีเซีย อธิบายว่า อัตราภาษีทั้งสามประเภทนี้เป็นการเพิ่มขึ้นจากอัตราภาษีเดิมที่สหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับประเทศคู่ค้า รวมถึงอินโดนีเซีย

“นโยบายภาษีที่ออกมาหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งนั้น โดยหลักแล้วประกอบด้วยอัตราภาษี 3 ระดับ อันดับแรกคือภาษีฐานใหม่ หรือ new baseline tariff” นายจัตมีโกกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568
ภาษีฐานใหม่พุ่ง 10%!
สำหรับอินโดนีเซีย ภาษีฐานใหม่ที่ทรัมป์กำหนดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10% ตัวอย่างเช่น สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่อินโดนีเซียนำเข้าสู่สหรัฐฯ เดิมมีอัตราภาษีอยู่ที่ 5-20% แต่หลังจากการปรับขึ้นภาษีฐานใหม่ 10% อัตราภาษีก็เพิ่มขึ้นเป็น 15-30%
ในทำนองเดียวกัน สินค้ารองเท้าที่เคยมีอัตราภาษี 8-20% ก็เพิ่มขึ้นเป็น 18-30%
นโยบายภาษีฐานใหม่ของสหรัฐฯ นี้มีผลบังคับใช้กับประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ไทย เกาหลีใต้ อินเดีย และประเทศคู่ค้าอื่นๆ ยกเว้นเม็กซิโกและแคนาดา
“รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มอัตราภาษีฐานเดิมขึ้น 10% จากอัตราภาษีฐานเดิม” นายจัตมีโกอธิบายเพิ่มเติม “หากท่านผู้สื่อข่าวถามว่าอัตราภาษีฐานเดิมเท่าไหร่ ขอตอบว่า มันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า เนื่องจากมีสินค้าหลายรายการ และขึ้นอยู่กับรายการสินค้าแต่ละรายการ”
การปรับขึ้นภาษีครั้งนี้สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจอินโดนีเซียอย่างมาก และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศในระยะยาว ทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียต้องเร่งหาแนวทางรับมือกับสถานการณ์นี้ เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่อไป