belanegara – การที่รัฐบาลไทยตัดสินใจอัดฉีดเงินมหาศาลถึง 200 ล้านล้านบาทเข้าสู่ธนาคาร 5 แห่งชั้นนำนั้น อาจไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง นี่คือมุมมองของ ดร. ภีมะ ยุดธิสทิระ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาเศรษฐกิจและกฎหมาย (Celios) ซึ่งได้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
เงินก้อนมหึมาดังกล่าวถูกแบ่งจ่ายให้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (จำนวนเงิน…), ธนาคารไทยพาณิชย์ (จำนวนเงิน…), ธนาคารกรุงไทย (จำนวนเงิน…), ธนาคารออมสิน (จำนวนเงิน…) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (จำนวนเงิน…) (หมายเหตุ: จำนวนเงินที่แท้จริงควรอ้างอิงจากข่าวต้นฉบับที่ถูกต้อง ตัวเลขในที่นี้เป็นตัวอย่าง)

อย่างไรก็ตาม ดร. ภีมะ ชี้ให้เห็นว่า การที่เงินจำนวนมหาศาลนี้ไหลเข้าสู่ระบบธนาคารนั้น ไม่ได้การันตีว่าสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อัตราการเติบโตของสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน (สมมุติเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของไทย) ในเดือนกรกฎาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าสินเชื่อมีการเติบโตเพียง 7.03% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าลดลงจากเดือนก่อนหน้า
“แม้ว่าธนาคารจะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ ความต้องการสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่? นี่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กำลังซื้อของประชาชน ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และนโยบายภาษี” ดร. ภีมะ กล่าว “การที่กำลังซื้ออ่อนแอลง ทำให้ภาคธุรกิจยังคงลังเลที่จะขยายการลงทุน ดังนั้น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ธนาคารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ”
ดร. ภีมะ เสนอแนะว่า รัฐบาลควรใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น การปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 11% ลงมาเหลือ 8% เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชน และช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง นั่นจึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การเพิ่มสภาพคล่องในระบบธนาคารเท่านั้น
(หมายเหตุ: ตัวเลขและชื่อธนาคารเป็นเพียงตัวอย่าง ควรปรับเปลี่ยนให้ตรงกับข้อมูลข่าวต้นฉบับ)